กรรมฐานที่หลวงปู่ดู่สอน
นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวากำพระวางบนมือซ้าย ให้นิ้วมือทั้งสองจรดกัน วางบนหน้าตักพอสบาย ๆ ปรับกายให้ตรงผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน สูดลมหายใจยาว ๆ ลึก ๆ สัก ๓ ครั้ง ให้ภาวนาว่า
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิสังฆัง สรณัง คัจฉามิ
จากนั้นจึงผ่อนลมหายใจให้เป็นไปตามธรรมชาติ ยังไม่ต้องนึกคิดสิ่งใด ทำใจให้ว่างๆ วางอารมณ์ทั้งที่เป็นอดีต และ อนาคต สักครู่เมื่อลมหายใจเริ่มละเอียดและจิตใจเริ่มโปร่งเบาขึ้นบ้างแล้วจึงค่อยเริ่มบริกรรมภาวนาไว้ระหว่างคิ้วทั้งสอง (เอาสติมาแตะรู้เบาๆ) แล้วตั้งใจภาวนา
คาถาไตรสรณคมน์ ดังนี้
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
เมื่อบริกรรมภาวนาจบแล้วก็ให้วนกลับมาเริ่มต้นใหม่ เช่นนี้เรื่อยไป
มีสิ่งที่ควรทราบเพิ่มเติมก็คือ ขณะที่บริกรรมภาวนาอยู่นั้นใหมีสติระลึกอยู่กับคำภาวนาโดยไม่ต้องสนใจกับลมหายใจ คงปล่อยให้การหายใจเข้า-ออก เป็นไปตามธรรมชาติ ปราศจากการควบคุมบังคับภาวนาด้วยใจที่สบายๆ และให้ยินดีกับองค์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เกิดขึ้นที่จิต เมื่อจิตมีความสงบสว่าง ก็น้อมแผ่เมตตาออกไปโดยว่า
" พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ "
แล้วตั้งใจภาวนาต่อไปเมื่อจิตถอนขึ้นจากความสงบ ให้ยกเอากายหรือเรื่องหนึ่งเรื่องใดขึ้นพิจารณาโดยน้อมไปสู่พระไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้ เมื่อรู้สึกว่าจิตเริ่มซัดส่ายหรือขาดกำลังในการพิจารณา ก็ให้วนกลับมาภาวนาคาถาไตรสรณคมน์อีก เพื่อดึงจิตให้เข้าสู่ความสงบอีกครั้ง ทำสลับกันเช่นนี้เรื่อยไปจนกว่าจะเลิก
ก่อนจะเลิก ให้อาราธนาพระเข้าตัวโดยว่า
" สัมเพพุทธา สัพเพธัมมา สัมเพสังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพะลัง อะระหันตานัญ จะเตเชนะรักขัง พันธามิสัพพะโส พุทธังอธิษฐานมิ ธัมมัง อธิษฐานมิ สังฆัง อธิษฐานมิ "
แล้วแผ่เมตตาอีกครั้ง โดยว่าเช่นเดียวกับที่กล่าวแล้วในตอนต้น
อนึ่ง การภาวนานี้ท่านให้ทำให้ได้ทุกอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน การปฏิบัติจึงจะก้าวหน้า และชื่อว่าตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ในตอนนั้นหลวงปู่จะแจกสมเด็จให้กำเวลานั่ง
คัดลอกจากพระผู้จุดประทีปในด้วยใจ พระราชทานเพลิงหลวงปู่ดู่ปี๒๕๓๔ เขียนโดยอาจารย์ ศุภรัตน์ แสงจันทร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น